Intensive Reading  (การอ่านเพื่อเรียนรู้) และ Extensive Reading (การอ่านอย่างกว้างขวาง) ต่างกันอย่างไร

การอ่านเพื่อเรียนรู้ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Intensive Reading  มักเกิดขึ้นในชั้นเรียน เป็นการอ่านเพื่อการศึกษาตัวภาษา หรือการใช้ภาษาในบทอ่าน รวมถึงการอ่านเพื่อหาความหมายของคำศัพท์ จากบริบทแวดล้อมที่ปรากฎในบทอ่าน หรือการอ่านเพื่อหารายละเอียดเฉพาะบางอย่างในบทอ่าน ซึ่งผู้อ่านจะต้องใส่ใจและสนใจรายละเอียดในบทอ่านเพื่อจะบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าว ดังนั้น บทอ่านหรือสื่อการอ่านที่นำมาใช้ในการอ่านในรูปแบบนี้ ครูผู้สอนมักจะเป็นผู้ที่เลือกหรือจัดหามาให้ผู้อ่านเพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ในการอ่าน

ในขณะที่การอ่านอย่างกว้างขวาง หรือ Extensive Reading นั้น มักเกิดขึ้นนอกห้องเรียน หรือเป็นการอ่านเสริมนอกเหนือจากบทเรียน หรือบทอ่านที่มีในชั้นเรียน ดังนั้น ในบางครั้งการอ่านอย่างกว้างขวาง จึงถูกเรียกว่า การอ่านนอกเวลา หรือ Free reading (Krashen, 2004) หรือ Independent Reading (Day and Bamford, 2002) การอ่านอย่างกว้างขวางจะเป็นการอ่านเพื่อความเพลิดเพลินใจ หรือเป็นการอ่านเพื่อความเข้าใจในเนื้อเรื่องของบทอ่านโดยรวมมากกว่า ดังนั้น ในกระบวนการอ่านอย่างกว้างขวางหรือ Extensive Reading นั้น ผู้อ่านจะใช้เวลาอ่านเรื่องหรือบทอ่านเร็วกว่า เนื่องจากไม่ต้องใส่ใจในตัวภาษาที่เจอในบทอ่านมากนัก หรือไม่ต้องหยุดอ่านเพื่อเจาะรายละเอียดเฉพาะบางอย่างในบทอ่านที่เจอ

Extensive reading เป็นการอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพื่อความเข้าใจในเนื้อเรื่องโดยรวม (ที่มา: link)

ด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกันของการอ่านทั้งสองรูปแบบนี้ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทางด้านการอ่านจึงได้เสนอแนะวิธีการ และสื่อการอ่านที่แตกต่างกันสำหรับการอ่านทั้งสองรูปแบบนี้ด้วย โดยการอ่านเพื่อเรียนรู้นั้น สื่อการอ่านมักจะเป็นสื่อที่มาจากหนังสือเรียนหรือบทเรียน ดังนั้น ผู้อ่านจึงมักจะต้องอ่านเรื่องที่ยากกว่าระดับภาษาของตนเอง และต้องใช้เทคนิคการอ่านที่ได้เรียนมาในชั้นเรียนมาช่วยในการทำความเข้าใจกับบทอ่านหรือภาษาที่ใช้ในบทอ่าน ในส่วนของสื่อการอ่าน ในการอ่านอย่างกว้างขวางนั้นจะเป็นเรื่องแต่ง นวนิยาย (fiction) หรือเป็นเรื่องจริง สารคดี (non-fiction) ก็ได้ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านอย่างกว้างขวางได้ให้ความเห็นพ้องต้องกันว่า ควรมีเนื้อหาหรือระดับภาษาที่อ่านง่ายเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนหรือผู้อ่านได้อ่านบทอ่าน หรือหนังสือนอกเวลาด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจกับบทอ่านมากนัก

การอ่านอย่างกว้างขวางนั้นเป็นการอ่านด้วยตนเองหรือการอ่านนอกชั้นเรียน ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนหรือผู้อ่านได้เลือกหนังสือหรือบทอ่านด้วยตนเอง จึงกระตุ้นความสนใจในการอ่านและดำเนินการอ่านด้วยตนเองอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามผู้เรียนหรือผู้อ่านอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในการอ่านด้วยตนเอง หรือสามารถอ่านเรื่องที่ตนเองเลือกได้จนจบ เนื่องมาจากระดับภาษาที่ใช้ในหนังสือ หรือข้อจำกัดอื่นๆ เช่น การเข้าถึงหนังสือที่เหมาะสมกับระดับภาษาของตนเอง 

ดังนั้น เพื่อให้กระบวนการอ่านอย่างกว้างขวางของผู้เรียนหรือผู้อ่านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นักวิชาการด้านการอ่านอย่างกว้างขวางจึงได้แนะนำสื่อการอ่านที่เหมาะสมสำหรับการอ่านอย่างกว้างขวางนี้ ได้แก่ หนังสืออ่านนอกเวลาซึ่งแบ่งตามระดับความยากง่าย (graded reader book) หรือสื่อการอ่านอื่นๆ ที่มีการปรับรูปแบบภาษาเพื่อให้เหมาะสมกับระดับภาษาของผู้เรียนหรือผู้อ่าน โดยอาจารย์ผู้สอนภาษาอังกฤษสามารถจัดหา หรือแนะนำให้ผู้เรียนเลือกสื่อต่างๆ ได้ตามระดับภาษาของตนเองจากแหล่งข้อมูลที่แนะนำโดยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านอย่างกว้างขวางที่มีทั้งแบบรูปเล่มหรือแบบออนไลน์ เช่น www.er-central.com หรือ FreeGradedReaders.com เป็นต้น ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และมีเนื้อหาที่มีการปรับระดับภาษาให้ง่ายขึ้น และสอดคล้องกับหลักการอ่านอย่างกว้างขวางแล้ว

ตัวอย่าง graded reader book (ที่มา: link)

แม้ว่าการอ่านเพื่อจะเรียนรู้และการอ่านอย่างกว้างขวางจะมีรูปแบบการอ่านและจุดประสงค์ในการอ่านที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่สำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษนั้น การอ่านทั้งสองรูปแบบนี้ ต่างก็มีส่วนช่วยพัฒนาทักษะด้านการอ่านของผู้เรียนหรือผู้อ่านในหลากหลายมิติ และหากผู้เรียนภาษาอังกฤษต้องการเพิ่มพูนทักษะ การอ่านภาษาอังกฤษของตนเอง จึงควรใช้รูปแบบการอ่านทั้งสองรูปแบบนี้ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกัน ครูผู้สอนภาษาอังกฤษเองก็สามารถส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ โดยการจัดกิจกรรมการอ่านทั้งสองรูปแบบนี้ควรคู่กันไป ทั้งในการเรียนในห้องเรียนและนอกห้องเรียน นอกจากนี้ยังสามารถจัดกิจกรรมการอ่านควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะอื่นๆ หลังจากการอ่านได้อีกด้วย เช่น การอ่านคู่กับเพื่อน หรือ Buddy Reading ที่ให้ผู้เรียนจับคู่กับอ่านหนังสือเรื่องเดียวกันและแบ่งปันประสบการณ์การอ่านของตนเองหลังจากการอ่านแต่ละบทหรือจบจบเล่ม  หรืออ่านแล้วนำมาพูดคุยกันเกี่ยวกับตัวละคร ฉาก หรือ ตอนที่ชอบในเรื่อง ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้พัฒนาทักษะการพูดอีกทางหนึ่ง หรืออาจจะเขียนเล่าเรื่องโดยใช้ภาษาและความเข้าใจของตนเองก็ได้

References

Day, R. R., & Bamford, J. (2002). Extensive reading in the second language classroom (3rd ed.). Cambridge University Press.

Krashen, S. D. (2004). The power of reading: insights from the research (2nd Ed.). Libraries Unlimited.

Macalister, J. (2015). Guidelines or Commandments? Reconsidering Core Principles in Extensive Reading. Reading in a Foreign Language, 271(1), 122-128.

Nation, P. (2015). Principles Guiding Vocabulary Learning through Extensive Reading. Reading in a Foreign Language, 27(1), 136-145.

Nation, I.S.P. & Waring, R. (2020). Teaching Extensive Reading in Another Language. Routledge.

บทความโดย ผศ.วรางคณา พงศธรพิพัฒน์
อาจารย์ประจำสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์