ภาษาอังกฤษมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอันเป็นผลจากพลวัตของเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เทคโนโลยี และการศึกษา สถาบัน English UK (2024) ได้คาดการณ์ถึงจำนวนตัวเลขของผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษนั้นมีมากถึง 1.5 พันล้านคนทั่วโลก ภาษาอังกฤษยังได้กำหนดให้เป็นภาษาราชการมากกว่า 59 ประเทศทั่วโลก และ 96 เปอร์เซ็นต์ของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกิดขึ้นระหว่างผู้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ดังนั้นการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง จึงเป็นทักษะที่มีความสำคัญในโลกปัจจุบัน อันจะนำไปสู่โอกาสในการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน และความสำเร็จในอนาคต ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง หรือเป็นภาษาต่างประเทศล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับการรับภาษาที่สอง หรือ Second Language Acquisition (SLA) ทั้งสิ้น
บทความนี้นำเสนอแนวคิดสำคัญพื้นฐานที่เกี่ยวกับการรับภาษาที่สอง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนและผู้สอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องนั้น คำถามพื้นฐานสำคัญเหล่านี้คือ (1) การรับหรือการเรียนภาษาที่สองคืออะไร (2) แนวคิดพื้นฐานที่สำคัญมีอะไรบ้างที่ใช้ในการอธิบาย SLA และ (3) การรับภาษาที่สองนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการสอนภาษาอังกฤษ
Second Language Acquisition
Second Language Acquisition (SLA) คือ การเรียนภาษาอื่นเป็นภาษาที่สอง หลังจากที่ได้เรียนภาษาแรก (first language) ของตนเองแล้ว และอาจรวมไปถึงการเรียนภาษาที่สาม หรือสี่ ทั้งในบริบทของการเรียนในห้องเรียนและนอกห้องเรียนตามธรรมชาติของการใช้ภาษา (natural exposure situation) ด้วย ทั้งนี้ SLA ยังมีความแตกต่างจากแนวคิดการเรียนภาษาต่างประเทศ (foreign language learning) โดยที่ การเรียนภาษาต่างประเทศมักเกิดขึ้นในบริบทของห้องเรียน และโอกาสในการใช้ภาษานั้นนอกห้องเรียนมีน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย อาทิ การเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศในประเทศไทย โดยที่โอกาสในการใช้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนเพื่อสนทนานั้นมีความจำกัดมาก ส่วนการเรียนภาษาที่สองนั้นเกิดขึ้นในบริบทหรือประเทศที่ใช้ภาษาที่สองนั้น ตัวอย่างเช่น สก๊อทเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในประเทศออสเตรเลียที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ และการใช้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนนั้น ถือเป็นเรื่องที่กระทำได้โดยไปโดยปกติทั่วไปในชีวิตประจำวัน ดังนั้นผู้สอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ภายในห้องเรียนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น อันจะส่งผลให้การรับรู้ภาษาที่สองของผู้เรียนมีการพัฒนามากขึ้นตามไปด้วย

Learning และ Acquisition
นักภาษาศาสตร์ประยุกต์และนักภาษาศาสตร์เชิงจิตวิทยา ได้ให้ความหมายของ “Learning” และ “Acquisition” ว่ามีความเหมือนและแตกต่างกัน โดยที่ language learning นั้นเป็นกระบวนการเรียนรู้ภาษาที่เกิดจากการที่ผู้เรียนมีสติจดจ่อ (conscious) โดยเป็นผลมาจากการสอนของครูผู้สอน ส่วน language acquisition มีความหมายถึงการรับภาษาโดยเกิดขึ้นได้เองในกระบวนการธรรมชาติ อันอาจจะเกิดจากการได้รับการกระตุ้นหรือผู้ใช้ภาษาได้พบเจอเองในบริบทของการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้นักวิชาการทาง SLA อย่าง Stephen Krashen (1982, p. 10) ได้ระบุว่า:
“For L2 learning, two parallel independent systems: acquisition and learning. The former is used in language production, when learners are focused on meaning. The latter then checks what is generated by that acquired system to ensure that the former is accurate.”
ในการสอนภาษานั้น แน่นอนว่าผู้สอนอาจจะต้องการให้ผู้เรียนสามารถ acquire องค์ประกอบต่าง ๆ ของภาษานั้นได้ เพราะผู้เรียนจะสามารถนำกลับมาใช้ได้เมื่อเจอสถานการณ์ที่ใกล้เคียงในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ผู้เรียนได้ acquire ภาษานั้นเองตามธรรมชาติ อาจนำไปสู่คำถามที่สำคัญ ๆ ตามมา เช่น การรับภาษาตามธรรมชาติเพียงพอต่อผู้เรียนหรือไม่ ครูผู้สอนควรเริ่มจากสิ่งใดก่อน – Learning ก่อนเพื่อนำไปสู่ Acquisition? รวมทั้งมีปัจจัยอื่นใดที่ส่งเสริมหรือขัดขวางการเกิด language acquisition

Interlanguage (IL) ใน SLA
หลังจากที่ language acquisition นั้นเกิดขึ้นในตัวผู้เรียนแล้ว สิ่งนี้นำไปสู่การสร้าง interlanguage (IL) ของผู้เรียนภาษาที่สอง Susan Gass et al. (2025) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน SLA อธิบายถึง IL ว่าเป็น ระบบที่ผู้เรียนภาษาที่สองสร้างโดยเปรียบเทียบจากระบบหรือความสามารถของเจ้าของภาษา แต่ IL มีองค์ประกอบที่ซับซ้อนหลากหลาย ทั้งที่มาจากภาษาแรกและภาษาปลายทาง (target language) หรือเป็นระบบที่ใช้ในการอธิบายถึงการรับภาษาที่สองของผู้เรียนหรือผู้ใช้ภาษาที่สองเท่านั้น โดยอาจจะไม่ได้มีทุกองค์ประกอบมาจากภาษาแม่และภาษาปลายทางก็ได้ นอกจากนี้งานวิจัยทาง SLA ยังได้ชี้ให้เห็นอีกว่า IL ของผู้เรียนภาษาที่สองนั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการที่ผู้เรียนได้ใช้ภาษานั้นบ่อยขึ้น ลองผิดลองถูก (hypothesis testing) ในการใช้คำศัพท์ วลี หรือบางโครงสร้างที่ผู้เรียนคาดว่าน่าจะถูกต้อง หรือมีโอกาสในการพบเจอสถานการณ์ในการใช้ภาษานั้นมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า แม้การใช้ภาษาและโอกาสในการใช้ภาษาที่สองนั้นเพิ่มขึ้น ผู้เรียนบางคนก็ยังไม่สามารถใช้คำศัพท์ วลี โครงสร้างภาษา หรือการให้ความหมายในเชิงวัจนปฏิบัติศาสตร์ (pragmatics) บางอย่างได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่นที่มาจากตัวผู้เรียนภาษาที่สองนั่นเอง
Fossilization
การที่ผู้เรียนภาษาที่สองไม่สามารถใช้คำศัพท์บางคำหรือไวยากรณ์บางโครงสร้างได้อย่างถูกต้องเป็นการถาวรนั้น มักรู้จักกันในชื่อของ fossilization หรือการที่ความสามารถด้านใดด้านหนึ่งของผู้เรียนภาษาที่สองหยุดพัฒนา และสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่ผู้เรียนภาษา หรือครูผู้สอนนั้น ไม่อยากให้เกิดขึ้นในการเรียนภาษาที่สอง Flexner และ Hauch (1988, p. 755) ได้อธิบายถึง fossilization ในบริบทของ IL ไว้ว่า:
“to become permanently established in the interlanguage of a second language learner in a form that is deviant from the target-language norm and that continues to appear in performance regardless of further exposure to the target language”
จากคำอธิบายข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าการที่ผู้เรียนหรือผู้ใช้ภาษาที่สองได้มีโอกาสใช้ภาษาที่สองนั้นไม่ว่าจะในบริบทของห้องเรียนหรือนอกห้องเรียนก็ตาม การหยุดพัฒนาดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ ดังจะเห็นว่า คำบางคำ โครงสร้างภาษาบางโครงสร้าง หรือการออกเสียงบางเสียง ผู้เรียนยังไม่สามารถใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ทั้งนี้ผู้สอนจึงอาจจะต้องมีวิธีการเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อให้ fossilization ใน SLA ของผู้เรียนนั้นเกิดขึ้นน้อยที่สุด หรือได้รับการแก้ไข ดังจะเห็นได้จากเทคนิคการสอนต่าง ๆ เช่น การให้ feedback ใน speaking และ writing
งานวิจัยทาง SLA ยังไม่ได้ระบุอย่างแน่ชัดถึงสาเหตุการเกิดขึ้นของ fossilization เนื่องจาก IL ของผู้เรียนภาษาที่สองมีความซับซ้อน
SLA กับ การสอนภาษาอังกฤษ
การรับหรือเรียนภาษาที่สอง (SLA) นั้นไม่อาจถูกมองว่าเป็นทฤษฎีการสอนภาษา (language pedagogy) แต่อย่างใด เว้นแต่ว่าการสอนภาษานั้นพึงต้องเป็นไปเพื่อเอื้อต่อการเรียนและการรับภาษาที่สอง กล่าวคือ ผู้สอนจำเป็นต้องมีความเข้าใจประเด็นหลักที่สำคัญเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียนภาษาที่สอง รวมทั้งแนวคิดแวดล้อม อาทิ language acquisition, interlanguage และ fossilization เสียก่อน อันจะนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมและการจัดการเรียนการสอนที่เอื้อให้เกิด language acquisition มากขึ้น ทั้งนี้ครูผู้สอนอาจช่วยเหลือผู้เรียนภาษาที่สองผ่านการให้ feedback เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการลองผิดลองถูกผ่านการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น การให้ feedback จากลองผิดลองถูกดังกล่าวอาจจะช่วยให้ผู้เรียนถอยห่างจากการหยุดพัฒนาทางภาษา (fossilization) บางอย่างได้ ทั้งนี้ผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจถึงความแตกต่างหลากหลายของผู้เรียน (learner differences) ข้อจำกัดทางบริบทต่าง ๆ รวมทั้งมีการจัดการกับความคาดหวังของตัวผู้สอนเองว่าจะให้ความสำคัญกับการฝึกฝนในด้านความถูกต้องของภาษา (accuracy) ความคล่องแคล่วของการใช้ภาษา (fluency) หรือการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย (communicative language use) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนภาษาที่สองนั้นได้พัฒนา interlanguage ของตนเองให้ก้าวหน้าขึ้นผ่านกิจกรรมเหล่านั้นนั่นเอง
References
English UK. (2024). ELT industry facts and figures. Retrieved from https://www.englishuk.com/facts-figures.
Gass, M. S., Behney, J., & Plonsky, L. (2025). Second language acquisition: An introductory course (6th Eds).
Routledge.
Krashen, S. D. (1982). Principles and practice in second language acquisition. Pergamon Press.
Flexner, S.B., & Hauch, L.C. (1988). Random House Dictionary of the English Language (2nd Eds). Random House.
บทความโดย อาจารย์ ดร.นันทพัทธ์ สุปัญญา
นักศึกษาหลักสูตรปริญญาเอก สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษ รุ่นที่ 10


